วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558

                                                          บทที่๑                 

                                                   
                                                               บทนำ



ที่มาและความสำคัญ

เนื่องจากทางคณะผู้จัดทำได้แลเห็นว่าปัจจุบันนี้คนเรามักมอง  ข้ามสุภาษิตคำพังเพยทั้งนี้ทางคณะผู้จัดทำจึงจัดทำสื่อเพื่อที่จะเผยแพร่สุภาษิตคำพังเพยและแสดงคำนิยมของมนุษย์มาตั้งแต่โบราณกาลมนุษย์ได้นำสำนวนสุภาษิตคำพังเพยนำมาใช้ในการให้ข้อคิดและแนวปฏิบัติรวมทั้งคติเตือนประจำใจในด้านการอบรมสั่งสอนพร้อมทั้งเป็นการพูดให้เกิดความคิดสำนึกที่ดี



วัตถุประสงค์

๑.เพื่ออนุรักษ์สำนวนสุภาษิต คำพังเพย ที่เป็นไทยไว้

๒.เพื่อเผยแพร่สำนวนสุภาษิต คำพังเพย แก่ผู้ที่สนใจ

๓.เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสำนวนสุภาษิต คำพังเพย



ขอบเขตการศึกษาค้นคว้า

ศึกษาข้อมูลจาก หนังสือ จับกระแสโลก

                          อินเตอร์เน็ต

                          หนังสือ สำนวนสุภาษิตคำพังเพย



                          

บทที่๒

                                    เอกสารที่เกี่ยวข้อง                   



สำนวน     คือ     ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นโดยมีความหมายพิเศษ  ไม่ตรงกับ

ความหมายที่ใช้ตามปกติทั้งนี้อาจจะเป็นคำที่มีความหมายโดยนัย   หรือ   ความหมายในเชิงเปรียบเทียบเป็นลักษณะคำพูดที่รวมใจความยาวๆ  ให้กะทัดรัดบางส่วนอาจหมายถึงสุภาษิตและคำพังเพยด้วย



สุภาษิต     คือ     คำพูดที่ถือเป็นคติ   มีความลึกซึ้งใช้สั่งสอนถือเป็นการวางแนวและแสดงค่านิยมของมนุษย์มาแต่โบราณกาล    เช่น  สุภาษิตสอนหญิง   สุภาษิตพระร่วง   ก็มีข้อความสั่งสอนที่ค่านิยมของสมัยนั้นๆไว้อย่างชัดเจนตลอดจนพุทธสุภาษิตคำสั่งสอนตามแนวทางพระพุทธศาสนา

             

คำพังเพย   คือ     เป็นคำเปรียบเทียบเรื่องต่างๆ ที่ใช้ติชม  ซึ่งสะท้อน ถึงความคิด ความเชื่อถือและค่านิยม อันเป็นลักษณะของคนไทย  เช่น  ค่านิยมในการยกย่องผู้อาวุโส  เคารพครูบาอาจารย์และนิยมความสุภาพอ่อนโยน     



สำนวน    สุภาษิต    คำพังเพย   

ไม่กระดิกหู                      หมายถึง      ไม่รู้หนังสืออ่านไม่ออกเขียนไม่ได้

กงเกวียน  กำเกวียน          หมายถึง      ทำกับเขาอย่างไร  เขาก็ทำแก่ตนอย่างนั้น

กระชังหน้าใหญ่               หมายถึง      ใช้จ่ายไม่ยั้งมือ  ไม่รู้จักเก็บหอมรอมริบ

กระต่ายตื่นตูม                  หมายถึง       ตื่นตกใจง่ายโดยไม่สำรวจให้ท่องแท้

กระต่ายหมายจันทร์         หมายถึง      ชายที่หมายปองหญิงที่มีฐานะสูงกว่า

กระโถนท้องพระโรง       หมายถึง        ผู้ที่ใคร ๆ ก็ใช้ได้  หรือรุมกันใช้

กลมเป็นลูกมะนาว           หมายถึง       หลบหลีกได้คล่องจนจับไม่ทัน

กลับหน้ามือเป็นหลังมือ   หมายถึง        เปลี่ยนแปลงหรือทำให้ผิดไปเป็นตรงกัน

                                                               ข้าม

กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้         หมายถึง      กว่าจะทำเรื่องหนึ่งสำเร็จ  อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ          

                                                              กว่าก็ล้มเหลว

กำแพงมีหู  ประตูมีช่อง     หมายถึง      (ตา)  จะพูดหรือทำอะไรให้ระมัดระวังแม้จะเป็น 

                                                              ความลับก็อาจมีคนล่วงรู้ได้

ขนทรายเข้าวัด                   หมายถึง      หาประโยชน์ให้ส่วนรวม

ขนมผสมน้ำยา                    หมายถึง     พอดีกัน  จะว่าข้างไหนดีกว่ากันไม่ได้

ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า      หมายถึง     บังคับผู้อื่นให้ทำตามที่ตนต้องการ

ขว้างงูไม่พ้นคอ                  หมายถึง      ทำอะไรแล้วผลร้ายกลับสู่ตัว

ข้างนอกสุกใส  ข้างในเป็นโพรง    หมายถึง      สวยแต่รูปจิตใจไม่ดี

ขายผ้าเอาหน้ารอด              หมายถึง      ยอมเสียสละข้าวของเพื่อรักษาชื่อเสียงของตนไว้

ข้าวแดงแกงร้อน                 หมายถึง      บุญคุณ

ข้าวยากหมากแพง               หมายถึง      บ้านเมืองอดอยากขาดแคลน

ข้าวเหลือเกลืออิ่ม                หมายถึง      บ้านเมืองบริบูรณ์ด้วยข้าวปลาอาหาร

ขี่ช้างจับตั๊กแตน                  หมายถึง       ลงทุนมากแต่ได้ผลเพียงเล็กน้อย

คดในข้องอในกระดูก         หมายถึง       มีสันดานคดโกง

คนดีผีคุ้ม                             หมายถึง       คนดีย่อมไม่มีภัย

คนล้มห้ามข้าม                    หมายถึง       อย่าเหยียบย่ำซ้ำเติมคนที่ตกต่ำ

คบคนให้ดูหน้า   ซื้อผ้าให้ดูเนื้อ       หมายถึง       ควรระมัดระวังในการคบคน

คว้าน้ำเหลว                         หมายถึง       ไม่ได้ผลตามที่ต้องการ

ความรู้ท่วมเอาตัวไม่รอด     หมายถึง        มีความมากแต่ไม่รู้จักใช้ความรู้    นั้น

คว่ำบาตร                              หมายถึง      ไม่ยอมคบค้าสมาคมด้วย

คางคกขึ้นวอ                        หมายถึง        คนฐานะต่ำต้อยพอได้ดีมักลืมตัว

คืบก็ทะเล  ศอกก็ทะเล         หมายถึง         อกทะเลอย่าประมาทอาจมีอันตราย

โคแก่ชอบกินหญ้าอ่อน        หมายถึง         ชายแก่ที่ชอบหญิงรุ่นสาว

ชักน้ำเข้าลึก  ชักศึกเข้าบ้าน   หมายถึง        ชักนำศัตรูเข้าบ้าน

ชักใบให้เรือเสีย                     หมายถึง        พูดหรือทำให้งานเขวออกนอกเรื่อง

ชักหน้าไม่ถึงหลัง                  หมายถึง        หากินไม่พอใช้จ่าย

ช้างตายทั้งตัว  เอาใบบัวมาปิดไม่มิด   หมายถึง      ความชั่วที่คนรู้กันทั่วไม่อาจปกปิดได้

ชาติจะดีไม่ทาสีก็แดง                หมายถึง          คนดีอย่างไรก็ดีเสมอ

ชายข้าวเปลือก  หญิงข้าวสาร    หมายถึง          ผู้ชายอยู่ที่ไหนก็งอกที่นั่น  แต่ผู้หญิง           

                                                                          มีแต่จะเสียหาย

ชี้นกเป็นนก  ชี้ไม่เป็นไม้          หมายถึง          ทำอะไรก็เป็นคล้อยตามไปหมด

ชี้โพลงให้กระรอก                    หมายถึง          ชี้ช่องทางให้ผู้อื่นโดยไม่คิดถึงผลเสีย           หาย

เชื้อไม่ทิ้งแถว                           หมายถึง           เป็นไปตามเผ่าพันธุ์

เด็กเลี้ยงแกะ                             หมายถึง           คนชอบพูดโกหก

เด็กอมมือ                                 หมายถึง           ผู้ไม่รู้ประสีประสา

เด็ดดอกไม่ไว้ขั้ว                      หมายถึง            ตัดขาด

ได้แกงเทน้าพริก                      หมายถึง           ได้สิ่งใหม่ลืมสิ่งเก่า

ตกน้ำไม่ว่าย                             หมายถึง          ไม่ช่วยตนเอง

ตกถังข้าวสาร                           หมายถึง           ชายที่ได้แต่งงานกับหญิงที่มีฐานะดีกว่า

ชักน้ำเข้าลึก   ชักศึกเข้าบ้าน    หมายถึง           ชักนำศัตรูเข้าบ้าน

ชักใบให้เรือเสีย                       หมายถึง           พูดหรือทำงานเขวออกนอกเรื่อง

ชักไม่ถึงหลัง                            หมายถึง           หากินไม่พอใช้

ชาติจะดีไม่ทาสีก็แดง               หมายถึง            คนดีอย่างไรก็ดีเสมอ

ชิงสุกก่อนห่าม                         หมายถึง           ด่วนทำสิ่งที่ไม่สมควรแก่วัย

ชี้นกเป็นนก  ชี้ไม้เป็นไม้          หมายถึง           ทำอะไรก็เห็นคล้อยตามไปหมด

ชี้โพรงให้กระรอก                    หมายถึง           ชี้ช่องทางให้คนอื่นโดยไม่คิดถึงความเสียหาย   

เชื้อไม่ทิ้งแถว                            หมายถึง            เป็นไปตามเผ่าพันธุ์

ตาบอดได้แว่น                           หมายถึง           ได้สิ่งที่ตนไม่มีโอกาสได้ใช้ประโยชน์

ตามใจปากมากหนี้                    หมายถึง           เห็นแก่กินมักหมดเปลือก

ตามใจปากลำบากท้อง               หมายถึง            เห็นแก่กินมักเดือดร้อน

                                            





บทที่   ๓

วิธีการดำเนินงาน



ขั้นตอนการดำเนินงาน

๑.   ผู้ศึกษานำเสนอหัวข้อโครงงานต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อขอคำแนะนำและกำหนดขอบเขตในการทำโครงงาน                                                                                                  

๒.  ผู้ศึกษาร่วมกันประชุมวางแผนวิเคราะห์ตามหัวข้อวัตถุประสงค์ของโครงงาน

๓.   ผู้ศึกษาร่วมกันกำหนดบทประพันธ์วรรณคดีหนังสือต่างๆ  ดังนี้  หนังสือฉบับปรับปรุงใหม่    หนังสือสำนวนสุภาษิต   หนังสือคำคมสุภาษิตสอนหญิงชาย

.   ศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นขั้นตอนของการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโครงงานเพื่อมาวิเคราะห์และสรุปเนื้อหาที่สำคัญที่จะนำมาจัดทำโครงงาน

๕.   นำเสนอผลงานต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อรายงานผลการดำเนินงาน

๖.    จัดทำคู่มือเพื่อใช้สำหรับศึกษาและรายงานต่ออาจารย์ที่ปรึกษา



อุปกรณ์และวัสดุที่ใช้ในการศึกษา

๑.   หนังสือสุภาษิตคำพังเพย

๒.  หนังสือจับกระแสโลก

๓.   ปากกา   ยางลบ   ดินสอไม้บรรทัด

๔.    อินเตอร์เน็ต

๕.   กระดาษ

๖.    ยางลบ

๗.    ดินสอ

๘.   ไม้บรรทัด

๙.    กาว

๑๐.  ฟิวเจอร์บอร์ด

๑๑.  แลคซีน

                          

บทที่  ๔

ผลการศึกษาค้นคว้า



ผลการศึกษาค้นคว้า

สำนวน     คือ     ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นโดยมีความหมายพิเศษ  ไม่ตรงกับความหมายที่ใช้ตามปกติทั้งนี้อาจจะเป็นคำที่มีความหมายโดยนัย   หรือ   ความหมายในเชิงเปรียบเทียบเป็นลักษณะคำพูดที่รวมใจความยาวๆ  ให้กะทัดรัดบางส่วนอาจหมายถึงสุภาษิตและคำพังเพยด้วย



สุภาษิต     คือ     คำพูดที่ถือเป็นคติ   มีความลึกซึ้งใช้สั่งสอนถือเป็นการวางแนวและแสดงค่านิยมของมนุษย์มาแต่โบราณกาล    เช่น  สุภาษิตสอนหญิง   สุภาษิตพระร่วง   ก็มีข้อความสั่งสอนที่ค่านิยมของสมัยนั้นๆไว้อย่างชัดเจนตลอดจนพุทธสุภาษิตคำสั่งสอนตามแนวทางพระพุทธศาสนา

             

คำพังเพย   คือ     เป็นคำเปรียบเทียบเรื่องต่างๆ เนื้อใช้ติชม  ซึ้งสะท้อน ถึงความคิด ความเชื่อถือและค่านิยม  อันเป็นลักษณะของคนไทย  เช่น  ค่านิยมในการยกย่องผู้อาวุโส  เคารพครูบาอาจารย์และนิยมความสุภาพอ่อนโยน 

    

สำนวน    สุภาษิต    คำพังเพย   

ไม่กระดิกหู                      หมายถึง      ไม่รู้หนังสืออ่านไม่ออกเขียนไม่ได้

กงเกวียน  กำเกวียน          หมายถึง      ทำกับเขาอย่างไร  เขาก็ทำแก่ตนอย่างนั้น

กระชังหน้าใหญ่               หมายถึง      ใช้จ่ายไม่ยั้งมือ  ไม่รู้จักเก็บหอมรอมริบ

กระต่ายตื่นตูม                  หมายถึง       ตื่นตกใจง่ายโดยไม่สำรวจให้ท่องแท้

กระต่ายหมายจันทร์         หมายถึง      ชายที่หมายปองหญิงที่มีฐานะสูงกว่า

กระโถนท้องพระโรง       หมายถึง        ผู้ที่ใคร ๆ ก็ใช้ได้  หรือรุมกันใช้

กลมเป็นลูกมะนาว           หมายถึง       หลบหลีกได้คล่องจนจับไม่ทัน



กลับหน้ามือเป็นหลังมือ   หมายถึง        เปลี่ยนแปลงหรือทำให้ผิดไปเป็นตรงกัน

                                                               ข้าม

กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้         หมายถึง      กว่าจะทำเรื่องหนึ่งสำเร็จ  อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ          

                                                              กว่าก็ล้มเหลว

กำแพงมีหู  ประตูมีช่อง     หมายถึง      (ตา)  จะพูดหรือทำอะไรให้ระมัดระวังแม้จะเป็น 

                                                              ความลับก็อาจมีคนล่วงรู้ได้



  

                                                บทที่    ๕

                              สรุปผลอภิปรายผลและข้อเสนอแนะ

สรุปผลการศึกษาค้นคว้า

          จากการที่คณะผู้จัดทำได้มีความสนใจศึกษาสำนวนสุภาษิตคำพังเพยตามวัตถุประสงค์คือเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ   สำนวน    สุภาษิต    คำพังเพย      โดยแบ่งตามลำดับอักษรพยัญชนะไทยเนื้อจากสำนวนสุภาษิตคำพังเพยจากบทประพันธ์    วรรณคดี     หนังสือต่างๆ    ได้แก่     หนังสือสำนวน         สุภาษิต         คำพังเพย     หนังสือคำคมสุภาษิตสอนหญิงชาย    ซึ่งพบว่า  สำนวน       สุภาษิต       คำพังเพย      มีจำนวนมากซึ่งถ่ายทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณที่ใช้สั่งสอนอบรมบุตรหลานให้มีคุณธรรมซึ่งในปัจจุบันก็ยังมีการนำ  สำนวน สุภาษิต  คำพังเพย   มาใช้ในชีวิตประจำวันซึ่งเราได้ยินอยู่บ้างในปัจจุบันเพื่อให้ประชาชนประพฤติปฏิบัติมีคุณธรรมและสามารถอยู่รวมกันได้ในสังคมอย่างสงบสุข   

                                                                           

อภิปรายผล

           จากการศึกษาค้นคว้าโครงงานเรื่อง  การศึกสำนวนสุภาษิตคำพังเพย

   สำนวนหมายถึง     คำที่พูดคือเป็นคติ     มีความลึกซึ้ง   ใช้สอน    คือการวางแนวและแสดงคำนิยมของสมัยโบราณ     เช่น    คำว่าน้ำพึ่งเรือเสือ     เสือพึ่งป่า     

   สุภาษิตหมายถึง      เป็นคำเปรียบเทียบเรื่องต่างๆ   เพื่อใช้ติชมสะท้อนถึงความคิดความเชื้อถือ    และค่านิยม อันเป็นลักษณะของคนไทย    เช่นคำว่าบ้านเคยอยู่      อู่เคยนอน

   คำพังเพยหมายถึง     ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นโดยมีความหมายพิเศษ   ไม่ตรงกับความหมายตามปกติทั้งนี้อาจจะเป็นคำที่มีความหมายโดยนัย  หรือความหมายในเชิงเปรียบเทียบ   เช่นคำว่า     กินบนเรือนขี้รถบนหลังคา  

ประโยชน์ที่ได้รับ      

๑.   เกิดความสามัคคีภายในกลุ่ม

            ๒.   มีความรู้เกี่ยวกับสำนวนสุภาษิตคำพังเพย

๓.    มีความเข้าใจเกี่ยวกับการนำสำนวนสุภาษิตคำพังเพยมาใช้

๔.   ได้ฝึกทักษะในการวาดภาพประกอบสุภาษิตคำพังเพย

                           



ข้อเสนอแนะ                                                    

จากการศึกษาสำนวนสุภาษิตคำพังเพยผู้ศึกษามีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับโครงงานคือ

๑.  เนื่องจากเนื้อหาของสำนวนสุภาษิตคำพังเพยอาจมีจำนวนมากในการศึกษาครั้งนี้ผู้ศึกษาอาจหรือยกเนื้อหาของสำนวนสุภาษิตคำพังเพย

๒.  ควรมีการจัดทำเป็นหนังสืออินเล็กทรอนิเผยแพร่ทางเว็บไซต์ในโอกาสต่อไป

๓.  นำผลจากการศึกษาสำนวนสุภาษิตคำพังเพยไปสร้างเป็นสื่อในรูปแบบต่างๆ    เช่น    นิทาน  เรื่องสั้น บทละคร  เป็นต้น   เพื่อให้เหมาะสมกับผู้รับสาร

                                                                  บทที่ ๖
ความหมายของสำนวนไทย
 
 
      สำนวนหมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงเป็นข้อความ  หรือคำพูดที่เป็นชั้นเชิง  ไม่ตรงตามรูปแบบภาษา  เป็นถ้อยคำหรือ คำพูดที่มีลักษณะเฉพาะตัว  มีความหมายเป็นนัยแฝงอยู่ กินความกว้าง หรือลึกซึ้ง  นำมาใช้ให้มีความหมายแตกต่างไปจากความหมายเดิมของคำ ๆ นั้น  หรืออาจจะมีความหมายคล้าย กับความหมายเดิมของคำที่นำมาประสมกัน แต่ก็ไม่เหมือนกับความหมายเดิมทีเดียว  เป็นความหมายใน เชิงอุปมาเปรียบเทียบ  มักใช้ถ้อยคำที่ไม่ยาวมากแต่กินความมาก   ใช้คำที่ไพเราะ คมคาย สละสลวย  ต้องอาศัยการตีความจึงจะเข้าใจ                                                                                         บทที่ ๖ บทที่ ๗
ที่มาของสำนวนไทย
 
 
          สำนวนไทยมีจำนวนมากมายและมีที่มาที่หลากหลายประการดังนี้
1. มีที่มาจากธรรมชาติ  เป็นสำนวนที่เทียบเคียงมาจากสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ   ดังตัวอย่าง
สำนวน
ที่มา
ความหมาย
กาฝาก
 ต้นไม้ที่เกาะเบียดเบียนอาศัยอาหารจากต้นใหญ่ เลี้ยงตัวแฝงกินอยู่กับผู้อื่นโดยไม่ได้ทำประโยชน ์อะไรให้
ก่อหวอด
 การวางไข่ของปลา  ปลาจะพ่นน้ำเป็นฟองเรียกว่า   หวอด  เพื่อให้ไข่ปลาอาศัยจน เป็นลูกปลาเริ่มจับกลุ่มเพื่อนทำการ อย่างใดอย่าง หนึ่ง
เข้าไต้เข้าไฟเวลาใกล้ค่ำต้องจุดไต้ ให้แสงสว่างเวลาพลบค่ำ
คลื่นกระทบฝั่ง
ทะเลมีคลื่นวิ่งเข้าหาฝั่งตลอดเวลา
เรื่องราวที่ครึกโครมขึ้นแล้วกลับเงียบ หายไป
คืบก็ทะเล  ศอกก็ทะเลแสดงถึงความน่ากลัวของทะเลสอนให้อย่าประมาทเพราะทะเล มีอันตราย  ทุกเมื่อ
ต้นไม้ตายเพราะลูกธรรมชาติของต้นไม้บางชนิดเมื่อออกผลแล้วจะตาย พ่อแม่ยอมเสียสละแม้ชีวิต เพื่อลูก
ติดร่างแหเวลาจับปลาด้วยแห ปลาน้อยใหญ่ก็จะติดแหมาด้วย พลอยรับเคราะห์ไปด้วย
ตื่นแต่ไก่โห่ธรรมชาติของไก่ย่อมขัน ในเวลาเช้ามืดเสมอ ตื่นแต่เช้ามืด
ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำฟ้าอยู่สูงแผ่นดินอยู่ที่ต่ำ คนทีทั้งที่สูงและที่ต่ำ
สนตะพายการสนตะพาที่จมูกวัวควาย  เพื่อชักจูงไปได้สะดวก ยอมให้ชักจูง
 
 
2. ที่มาจากวัฒนธรรมการดำรงชีวิต  เช่น  ปัจจัยสี่  อาหาร  เครื่องนุ่งห่ม  ที่อยู่อาศัย  พาหนะ  เป็นต้น  ดังตัวอย่าง
 
สำนวน
ที่มา
ความหมาย
ก้นหม้อไม่ทันดำการหุงข้าวกว่าก้นหม้อจะติดเขม่าดำกินเวลานาน เลิกกันง่าย
ชุบมือเปิบการกินข้าวด้วยมือ  ก่อนจะกิน อาหารจะเอา มือลงชุบน้ำ เพื่อล้างมือให้สะอาด และไม่ให้ข้าว ติดมือ คนที่ไม่ช่วยทำพอถึงเวลา มารับประทาน      คนที่ฉวยประโยชน์จากคนอื่น โดยไม่ลงทุน ลงแรง
นุ่งเจียมห่มเจียมการแต่งกาย แต่งตัวพอสมกับฐานะ
จุดไต้ตำตอเวลาพลบค่ำจะจุดไต้เป็นเครื่องตามไฟ พูดหรือทำสิ่งใดกับเจ้าของเรื่อง โดยผู้นั้น ไม่รู้ตัว
บ้านเมืองมีขื่อมีแปเรือนต้องมีขื่อสำหรับยึดหัวเสาเรือนตามขวาง  ส่วนแปเป็นไม้ยึดหัวเสาตามยาว บ้านเมืองมีกฎหมายคุ้มครอง
ติเรือทั้งโกลนการทำเรือสมัยโบราณ  จะเหลาซุงทั้งต้นให้ เป็นรูปร่างก่อน  เรียกว่า  โกลนตำหนิสิ่งที่ยังทำไม่เสร็จ
 
 
3.  ที่มาจากวัฒนธรรมทางสังคม  เช่น  การทำมาหากิน  การกระทำ  ประเพณี  การละเล่น  การศึกษา  การเมืองการปกครอง  เป็นต้น  ดังตัวอย่าง
 
 
สำนวน
ที่มา
ความหมาย
ไกลปืนเที่ยงในรัชกาลที่ 5 เริ่มยิงปืนใหญ่เวลา 12.00 นาฬิกาในพระนคร ให้ได้รู้กันว่าเป็นเวลาเที่ยงคนที่อยู่ไกลออกไป คนบ้านนอก
ทำนาบนหลังคนอาชีพการทำนาการแสวงหาผลประโยชน์ ใส่ตนโดยขูดรีดผู้อื่น
ฝังรก  ฝังรากการทำขวัญทารกที่เกิดได้สามวัน  เอารกกับ มะพร้าวตั้งถิ่นฐานประจำ
คนตายขายคนเป็นการจัดงานศพการจัดงานศพใหญ่โตทั้ง ๆ ที่ลูกหลานยากจน  ต้องไปกู้เงินมาทำศพ หลังงานศพ ต้องใช้หนี้ ได้รับ
ความลำบาก
ไม่ดูตาม้าตาเรือการเล่นหมากรุกไม่พิจารณาให้รอบคอบ
ความรู้ท่วมหัว  เอาตัวไม่รอดการศึกษามีความรู้มากแต่ไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์
เจ้าถ้อยหมอความโวหารของนักกฎหมาย  หรือหมอความ(ทนายความ)ผู้ที่ใช้โวหารพลิกแพลงเช่นเดียวกับผู้ที่เป็น
หมอความ(ทนายความ)
นอนหลับทับสิทธิ์การเมืองการปกครองไม่ไปใช้สิทธิ์ที่ตนเองมีอยู่เมื่อถึงคราวที่จะใช้
สู้จนเย็บตาการชนไก่  ไก่ถูกแทงจนหน้าตาฉีกก็เย็บ แล้วให้สู้อีกสู้จนถึงที่สุด สู้อย่างไม่ย่อท้อ สู่ไม่มีถอย
 
 
4. ที่มาจากวัฒนธรรมทางจิตใจ  เช่นทางศาสนาและความเชื่อ  ดังตัวอย่าง
 
 
สำนวน
ที่มา
ความหมาย
กรวดน้ำคว่ำขันเวลาไปทำบุญแล้วกรวดน้ำอุทิศ ส่วนกุศลตัดขาดไม่ขอเกี่ยวข้องด้วย
ผีซ้ำด้ำพลอยการนับถือผีบรรพบุรุษถูกซ้ำเติมเมื่อพลาดพลั้งลงหรือ
เมื่อคราวเคราะห์ร้าย
ปิดทองหลังพระทำเนียมการปิดทองคำเปลว
ที่พระพุทธรูป
ทำความดีแต่ไม่ได้รับการ
ยกย่องเพราะไม่มีใครเห็นคุณค่า
ขนทรายเข้าวัดการทำบุญก่อพระเจดีย์ทราย
ที่วัด
การหาประโยชน์ให้ส่วนรวม
บุญทำกรรมแต่งการทำบุญ สร้างกรรมบุญหรือบาปที่ทำไว้ในชาติก่อนเป็นเหตุให้รูปร่าง หน้าตาหรือวิถีชีวิตของคนเราในชาตินี้ สวยงาม ดี ชั่ว
 
 
5.ที่มาจากวัฒนธรรมทางศิลปะ  เช่น  การแสดง  ดนตรี  เป็นต้น  ดังตัวอย่าง
 
 
สำนวน
ที่มา
ความหมาย
ประสมโรงการตั้งคณะละครโดยเอาตัวละครจากที่ต่าง ๆ มารวมกันเป็นโรงพลอยเข้าร่วมเป็นพวกด้วย
ชักใยการเล่นหุ่นและหนังตะลุงบงการอยู่เบื้องหลัง
นอกจอการเล่นหนังใหญ่ดีแต่เก่งอยู่ข้างนอก
คลุกคลีตีโมงการเล่นดนตรีปี่พาทย์คลุกคลีพัวพันอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา
โจ๋งครึ่มสำเนียงการตีตะโพนการกระทำสิ่งใดอย่างเปิดเผย
 
 
6.ที่มาจากวัฒนธรรมทางภาษา  วรรณคดี  ตำนาน  นิทาน  ประวัติศาสตร์  เป็นต้น  ดังตัวอย่าง
 
 
สำนวน
ที่มา
ความหมาย
งอมพระรามเรื่อง รามเกียรติ์ พระรามต้องผจญกับความทุกข์ยาก ลำบากต่าง ๆ นานา มากมายมีความทุกข์ลำบากเต็มที่
ชักแม่น้ำทั้งห้าเรื่องมหาเวสสันดรชาดก ชูชกกล่าวขอสองกุมาร ต่อพระเวสสันดรพูดจาหว่านล้อมยกยอบุญคุณ
เพื่อขอสิ่งที่ประสงค์
เนื้อถ้อยกระทงความการใช้ภาษาเนื้อความที่แยกแยะออก เป็นข้อ ๆ  อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
 ที่เท่าแมวดิ้นตายนิทานเรื่องศรีธนญชัย  ที่ขอพระราชทานที่เท่า แมวดิ้นตาย โดยเอาแมวมาผูกและ ใช้ไม้ตีแมวให้วิ่ง ไปมาจนแมวตาย  ทำให้ได้ที่ดินจำนวนมากมีที่ดินที่เนื้อที่น้อยเพียง ตัวแมว ดิ้นตาย
ปล่อยม้าอุปการเรื่องรามเกียรติ์ พระรามทำพิธีปล่อยม้าอุปการ  แล้วให้ หนุมานตามไป  ผู้ใดบังอาจจับม้าขี่ ก็จะถูกปราบการกระทำที่ใช้คนออกไปเที่ยว พาลหาเรื่องหรือทำให้เกิดเรื่อง  ขึ้นเพื่อ ประโยชน์ตนเอง
ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเองวรรณคดีเรื่องอิเหนา ท้าว กะหมังกุหนิง ยกทัพมาประชิดเมืองดาหาเพื่อชิงนางบุษบา  อิเหนาก็มาช่วยปราบศึกและเมื่อได้พบ นางบุษบา ก็ลุ่มหลงออกอุบายแต่งทัพปลอม เป็นทัพกะหมังกุหนิงเข้าเผาเมือง แล้วปลอม เป็นจรกาพา นางบุษบา ไปซ่อนไว้ในถ้ำตำหนิผู้อื่นเรื่องใดแล้วตนก็กลับทำ ในเรื่องนั้นเสียเอง
 
 บทที่ ๖                                                                บทที่ ๘
จุไรรัตน์  ลักษณะศิริ, บาหยัน  อิ่มสำราญ (บรรณาธิการ, 2548, หน้า 67-71)  กล่าวถึงสำนวนที่เกิดขึ้นใหม่ไว้  สรุปได้ดังนี้
 
 
          1. สำนวนที่เกิดจากวงการสื่อมวลชน เช่น  ไปไม่ถึงดวงดาว (ไม่สำเร็จ ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่คิดไว้) มองต่างมุม (แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป)  เป็นต้น
 
 
 
 
          2. สำนวนที่เกิดจากวงการเมือง  เช่น  โปร่งใส (ชัดเจน ไม่มีลับลมคนใน)  น็อตหลุด    (ยั้งไม่อยู่  พูดโพล่งออกมาหรือแสดงอารมณ์อย่างไม่สมควร)   เป็นต้น
 
 
 
 
        3. สำนวนที่เกิดจากวงการโฆษณา  เช่น  ภาษาดอกไม้ (คำพูดที่ไพเราะ รื่นหู  พูดไป  ทางที่ดี)   มีระดับ (คุณภาพดี  มีมาตรฐานสูง)   เป็นต้น
 
 
 
 
            4. สำนวนที่เกิดจากวงการบันเทิง เช่น แจ้งเกิด (เริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักหรือเป็นที่ยอมรับในวงการนั้น ๆ)   คู่กัด (คู่ที่ไม่ถูกกัน)  เป็นต้น
 
 
 
 
          5. สำนวนที่แปลมาจากภาษาต่างประเทศ   เช่น เเกะดำ (back sheep ใช้หมายถึง คนชั่วในกลุ่มคนดี)   แขวนอยู่บนเส้นด้าย (hang by a thread  ใช้หมายถึง  ตกอยู่ในสถานการณ์ที่หมิ่นเหม่ต่ออันตราย)  ลื่นเหมือนปลาไหล (slippery as eel ใช้หมายถึง  (คน)ที่เชื่อถือได้ยากเพราะเป็นคนตลบตะแลง  พลิกแพลงกลับกลอก  หรือหลบเลี่ยงไปมาได้คล่องแคล่ว)  ล้างมือ (wash one’ s hand of  ใช้หมายถึง  ปฏิเสธที่จะเกี่ยวข้องหรือรับผิดชอบ  หรือเลิกเกี่ยวข้อง)  สร้างวิมานในอากาศ (build castles in the air  ใช้หมายถึง  ฝันหรือหวังในสิ่งที่ไม่วสามารถจะเป็นความจริงได้)  เป็นต้น
 
 
 
 
          6. สำนวนเกิดใหม่ที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์รายวัน  
        -สำนวนสร้างใหม่  เช่น  ขบเหลี่ยม (ไม่ลงรอยกัน  ขัดกัน  หักร้างกัน) ไทยเหลือง (พระที่ประพฤติตน ไม่เหมาะสม)
        -สำนวนดัดแปลง  เช่น  กิ้งก่าฟาดหาง (อาการเตะเพื่อทำร้ายฝ่ายตรงข้าม  ดัดแปลงจากชื่อท่ามวยไทย  จระเข้ฟาดหาง )  นักกินเมือง (นักการเมืองที่มุ่งแต่จะหาประโยชน์เข้าตัวเอง  ดัดแปลงจากคำว่า  นักการเมือง)  ยุค IMF  (ยุคที่เศรษฐกิจตกต่ำต้องประหยัด  IMF  มาจากคำว่า International Monetary Found  ซึ่งเป็นชื่อกองทุนการเงินระหว่างประเทศ)
         -สำนวนที่เปลี่ยนบริบทการใช้  เช่น  ชิงสุกก่อนห่าม (ตกรอบไปก่อนเวลาอันสมควร
ปรกติใช้กับการที่หนุ่มสาวลักลอยได้เสียกันก่อนแต่งงาน  แต่นำมาใช้ในบริบทใหม่ทางการกีฬา)
อุ้ม (ลักพาตัวไป เพื่อนำไปฆ่า  เปลี่ยนความหมายจากเดิมที่หมายถึง โอบ ยกขึ้น ยกขึ้นไว้กับตัว  หรือให้ความอุปถัมภ์ช่วยเหลือ)
        -สำนวนที่มาจากภาษาต่างประเทศ  เช่น  ฮั้ว (สมยอมกันในการประมูลงานโดย บริษัทหนึ่งจะ นัดบริษัทอื่น ๆ   ที่สนใจในการประมูลงานใดงานหนึ่งมาตกลงกัน  บริษัทนั้นจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้บริษัทอื่น ๆ เพื่อให้บริษัทเหล่านั้นหลีกทางให้บริษัทตนเป็นผู้ประมูลได้  มาจากคำว่า  ฮั้ว ในภาษาจีน)  ไฮโซ  ไฮซ้อ  ไฮซิ้ม  (ชนชั้นสูงหรือผู้มีเงิน  มีฐานะในวงสังคม  มีที่มาจากคุณหญิง คุณนายที่เป็นภรรยาหรือบุตรนักธุรกิจ  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนไทยเสื้อสายจีน  และบางคนอาจมีลักษณะของความเป็นจีนอยู่  จึงมีการพูดล้อเลียน  ไฮซ้อ  ไฮซิ้ม   มาจากคำว่า  ไฮโซ รวมกับคำว่า  ซ้อ  และ ซิ้ม  ซึ่งเป็นภาษาจีน)  เตะซีมะโด่ง (ให้พ้นจากตำแหน่ง  ปรกติจะใช้ว่า  เตะโด่ง   ซีมะโด่ง  เป็นคำมาจากภาษาเขมรว่า  ซีมวยดอง  แปลว่า  กินหนึ่งครั้ง  เสียงพยางค์สุดท้ายใกล้เคียงกับคำว่า โด่ง  ในภาษาไทย  จึงนำมาใช้แทนคำว่า โด่ง)
 
 
 
                                                                                                               บทที่ ๙
 การใช้สำนวนที่ถูกต้องเหมาะสมจะช่วยให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  สามารถสื่อความหมาย  ได้อย่างชัดเจน  ถูกต้อง  และรวดเร็ว โดยทั่วไปเราใช้สำนวนเพื่อการสื่อสารในกรณีต่อไปนี้
 
 
 
 
      1. ใช้ในการจูงใจ  เช่น  ทำดีได้ดี  ทำชั่วได้ชั่ว  รักดีหามจั่ว  รักชั่วหามเสา  ธรรมะย่อมชนะอธรรม  คบคนพาลพาลพาไปหาผิด  คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล  แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร 
เป็นต้น
 
 
 
 
          2. ใช้ย่อข้อความยาว ๆ  เช่น  ขิงก็รา  ข่าก็แรง   ตัดหางปล่อยวัด   จับปลาสองมือ   กินเปล่า  ชุบมือเปิบ  ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ  เป็นต้น
 
 
 
           3. ใช้ขยายความหรือเน้นความเข้าใจ  เช่น  ปิดทองหลังพระ  หนีเสือปะจระเข้   ทำคุณบูชาโทษ  กินน้ำใต้ศอก  เรือล่มในหนองทองจะไปไหน หนูตกถังข้าวสาร เป็นต้น 
 
 
 
          4. ใช้แทนถ้อยคำที่ไม่ต้องการกล่าวตรงๆ  เช่น  เฒ่าหัวงู   สิ้นบุญ  เจ้าโลก  บ้านเล็ก  ไก่แก่แม่ปลาช่อน โคแก่กินหญ้าอ่อน  วัวเคยขาม้าเคยขี่  เป็นต้น
 
 
 
  
           5. ใช้เพิ่มสีสันและความสละสลวยของถ้อยคำในการสื่อสาร  เช่น   ข้าวแดงแกงร้อน  อยู่เย็นเป็นสุข  รั้วรอบขอบชิด  คลุกคลีตีโมง  ขุดบ่อ ล่อ ปลา  เป็นต้น บทที่ ๑๐ 
 ข้อควรคำนึงในการใช้สำนวนไทย  ได้แก
 
 
            1. ควรใช้ให้ถูกต้องตรงตามความหมาย  นั่นคือ  ผู้ใช้จะต้องเรียนรู้และเข้าใจความหมายของสำนวนอย่างถ่องแท้  จึงจะใช้สำนวนได้ถูกต้องตามความหมาย  เพราะมีสำนวนที่มีคำใช้คล้ายกันแต่มีความหมายต่างกัน  จึงใช้แทนกันไม่ได้  แต่ก็มีบางสำนวนที่มี ความหมายเหมือนกัน  คล้ายคลึงกันอาจใช้แทนกันได้  แต่บางสำนวนแม้จะ มีความหมายเหมือนกันก ็ไม่อาจจะใช้แทนกันได้  ทุกสถานการณ์  ดังตัวอย่างสำนวนต่อไปนี้
 
 
สำนวน
สำนวน
สำนวน
สำนวน
คาบลูกคาบดอกลูกผีลูกคน
ผีกับโลงกิ่งทองใบหยก
ขี่ช้างจับตั๊กแตนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
คางคกขึ้นวอแมงปอใส่ตุ้งติ้งกิ้งก่าได้ทอง
หมูในเล้าหมูในอวยหญ้าปากคอก
เกลือเป็นหนอนหนอนบ่อนไส้ไส้เป็นหนอน
ปัดแข้งปัดขาถีบหัวส่งเหยียบจมธรณี
ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเองปากว่าตาขยิบปากอย่างใจอย่าง
นกสองหัวจับปลาสองมือเหยียบเรือสองแคม
ไก่ได้พลอยตาบอดได้แว่นวานรได้แก้วหัวล้านได้หวี
เอามือซุกหีบเอาไม้สั้นไปรันขี้เอาไม้ซักไปงัดไม้ซุงว่ายน้ำหาจนระเข้
 
   
 
       2.ไม่เขียนสำนวนผิดหรือใช้ต่างไปจากสำนวนที่มีใช้อยู่โดยทั่วไปเพราะจะสื่อความหมายไม่ได้  ดังจุดประสงค์  เช่น
 
  
สำนวน
สำนวนที่ต่างไป
กงเกวียนกำเกวียนกงกำกงเกวียน
ขายผ้าเอาหน้ารอดแก้ผ้าเอาหน้ารอด
ขนมพอสมน้ำยาขนมผสมน้ำยา
คงเส้นคงวาคงวัดคงวา
คาหนังคาเขาคาหลังคาเขา
งูเงี้ยวเขี้ยวของูเงี้ยวเขี้ยวหงอน
แจงสี่เบี้ยชี้แจงสี่เบี้ย
นกไร้รังโหดนกร้ายรังโหด
ต้นกุฏิก้นกุฏิ
ติเรือทั้งโกลนติเรือทั้งโคลน
ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำละลายน้ำพริกกับแม่น้ำ
ตกกระไดพลอยโจนตกกระไดพลอยโจร  ตกกระไดพลอยกระโจน
ปลาติดหลังแหปลาติดร่างแห
ปรักหักพังสลักหักพัง
ผีซ้ำด้ำพลอยผีซ้ำด้ามพลอย
ผิดเต็มประตูผิดเต็มประตูเต็มหน้าต่าง
ทำนาบนหลังคนทำนาบนหัวคน
ฤกษ์พานาทีฤกษ์พานาที
ไม่มีปี่มีขลุ่ยไม่มีขลุ่ยไม่มีกลอง
ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันไม่ได้พบเดือนพบตะวัน
รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสารักดีหามจั่ว รักชั่วหามสาว
รู้ธาตุแท้ รู้เช่นเห็นชาติรู้เช่นเห็นธาตุ
ศึกเสือเหนือใต้ศึกเหนือเสือใต้
สู้จนเย็บตาสู้จนยิบตา
หัวมังกุด ท้ายมังกรหัวมังกุฎ ท้ายมังกร 
หลงจนหัวปักหัวปำหลงจนหัวทิ่มหัวตำ
เอาใจออกหากเอาใจออกห่าง
 
   
 
       3. ใช้สำนวนให้ถูกต้องตามสถานการณ์  สอดคล้องกับกาลเทศะและบุคคลและใช้ให้พอเหมาะ ไม่ฟุ่มเฟือย จนไม่อาจสื่อสารได้ดังต้องการ  ดังนั้นควรคำนึงถึงโอกาสและความเหมาะสมเป็นสำคัญ  เช่น
 
 
ตัวอย่างสำนวนไทย
สำนวน
ความหมาย
สำนวน
ความหมาย
ก้มหน้า
ก.จำทน  เช่น 
ต้องก้มหน้า
ทำตามประสายาก
กระดี่ได้น้ำ
น.ใช้เปรียบเทียบคนที่แสดงอาการ  ดีอกดีใจ  ตื่นเต้นจนตัวสั่น  เช่น  เขาดีใจเหมือนกระดี่ได้น้ำ
กำเริบเสิบสาน
ก ได้ใจ, เหิมใจ
ก่อร่างสร้างตัว
ก.ตั้งเนื้อตั้งตัวได้
เป็นหลักฐาน
กิ่งทองใบหยก
ว.เหมาะสมกัน (ใช้แก่หญิง กับชายที่จะ แต่งงานกัน)
กินตามน้ำ
 ก.รับของสมนาคุณที่เขา
เอามาให้ โดยไม่ได้ เรียกร้อง (มักใช้แก่เจ้าหน้าที่ พนักงาน ผู้มีอำนาจ)
กินน้ำใต้ศอก
ก.จำต้องยอมเป็นรองเขา,  ไม่เทียมหน้าเทียมตาเท่า,  (มักหมายถึงเมียน้อย
ที่ต้องยอมลงให้แก่
เมียหลวง)
กินอยู่กับปาก 
อยากอยู่กับท้อง
ก.รู้ดีอยู่แล้วแสร้งทำเป็นไม่รู้
แกะดำ
น.คนที่ทำอะไรผิดเพื่อนผิดฝูง
ในกลุ่มนั้น ๆ  (ใช้ในทางไม่ดี)
ไก่รองบ่อน
น.ผู้ที่อยู่ในฐานะตัวสำรอง  ซึ่งจะเรียกมาใช้เมื่อไรก็ได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น